อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

แข่งเรือ เดือน 11 ไล่น้ำ ฟันน้ำ ให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวจนตาย

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11527 มติชนรายวัน


แข่งเรือ เดือน 11 ไล่น้ำ ฟันน้ำ ให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวจนตาย


คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม




แข่งเรือไทย-ลาวในแม่น้ำโขง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อ พ.ศ. 2537

ตัด ทอนมาปรับปรุงใหม่จากหนังสือ ประเพณี 12 เดือน โดย ศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2548 อ่านฉบับเต็มในเว็บไซต์ www.sujitwongthes.com

เดือนสิบเอ็ด ทางจันทรคติของชุมชนท้องถิ่นพวกหนึ่งในอุษาคเนย์ เริ่มวันแรกขึ้น 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ตรงกับปฏิธินสากลทางสุริยคติ วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2552

ขณะที่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยานับเดือนสิบเอ็ด แต่ทางล้านนาและบางท้องถิ่นที่อยู่ตอนบนของภูมิภาคจนถึงทางใต้ของจีนนับ เดือนอ้าย เพราะนับเร็วกว่ากัน 2 เดือน ตามลักษณะแตกต่างทางภูมิศาสตร์

ประเพณีชาวบ้านช่วงเวลานี้สืบเนื่องจากเดือนก่อน (คือ เดือนสิบ) เป็นช่วงเวลาปลายพรรษา ยังมีฝนตกมากจนน้ำนองหลากทั่วไป รวงข้าวที่ผลิใหม่เมื่อเดือนก่อน เริ่มเปลี่ยนสีจากเหลืองอ่อนๆ เป็นเหลืองเข้มและเมล็ดอวบอ้วน อุดมสมบูรณ์ แต่ยังวางใจไม่ได้ว่าธรรมชาติจะอำนวยให้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงต้องมีพิธีเสี่ยงทายเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ ชาวบ้านเรียกแข่งเรือ แต่ในพระราชพิธีอย่างพราหมณ์เรียกอาสยุชพิธี มีในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา

แข่งเรือเสี่ยงทาย

พิธีแขงเรือเสี่ยงทาย เป็นของชุมชนชาวบ้านยุคดึกดำบรรพ์มาก่อน เมื่อราชสำนักมีขึ้นในสุวรรณภูมิ สยามประเทศก็ยกพิธีพราหมณ์จากชมพูทวีป(อินเดียโบราณ) เข้ามาผสมเพิ่มให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีก แล้วเรียกอย่างขลังๆ ว่าอาสยุชพิธี (อาสยุช แปลว่า เดือนสิบเอ็ด)

ข้อความในกฎมณเฑียรบาลพรรณนาไว้สั้นๆ ห้วนๆ โดยสรุปสาระสำคัญว่า สมรรถไชยเป็นเรือพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนไกรสรมุกข์เป็นเรือพระอัครมเหสี เรือทั้งสองลำ เป็นเรือเสี่ยงทาย" ให้ฝีพายแข่งกัน มีคำทำนายเป็นจารีตที่รู้กันก่อนแล้วว่า ถ้าเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดินพายแพ้เรือไกรสรมุกข์ของพระอัครมเหสี บ้านเมืองจะ เป็นสุขเกษมเปรมประชา มี "ข้าวเหลือ เกลืออิ่ม"

(ซ้าย) ขบวนแห่ช้างในพิธีคเชนทรัศวสนานในพระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขียนซ่อมแซมจากจิตรกรรมฝาผนังเดิมที่เขียนสมัยรัชกาลที่ 5 (ขวา) ถวายผ้าพระกฐินหลวงทางสถลมารค พระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ เขียนในสมัยรัชกาลที่ 5



แต่ตรงข้ามถ้าเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดินชนะ บ้านเมือง"จะมียุค" หมายความว่าเกิดยากแค้นแสนสาหัส ข้าวไม่เหลือ เกลือไม่อิ่ม อดอยากปากแห้งเป็น กลียุค

แข่งเรือพนัน

ประเพณีแข่งเรือเสี่ยงทายค่อยๆคลายความเชื่อเรื่องเสี่ยงทายลงไปเรื่อยๆ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นแข่งเรือเพื่อสนุกสนานแล้วเล่นพนันขันต่อ มีอยู่ในบันทึกของชาวยุโรป เช่น ลาลูแบร์ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ แล้วเห็นชัดขึ้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ดังมีในนิราศเดือน ของหมื่นพรหมสมพัตสร(เสมียนมี) กวีสมัยรัชกาลที่ 3 พรรณนางานแห่กฐินมีแข่งเรือชาวบ้าน

ไล่น้ำ ให้น้ำลด

พิธีแข่งเรือเพื่อเสี่ยงทายในเดือน 11 ว่าอนาคตจะอุดมสมบูรณ์หรือข้าวยากหมากแพง เป็นเพียงจุดเริ่มตนพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำและดินของชุมชนเกษตรกสิกรรมที่มี สืบมาแต่ยุคดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ เพราะยังมีพิธีกรรมที่ต้องทำติ่อเนื่องไปอีกคือลอยกระทงเดือน 12 จนกว่าจะขึ้นฤดูกาลใหม่หรือปีใหม่ในเดือนอ้าย หรือเดือนที่หนึ่งของปีต่อไป

ร่องรอยของพิธีกรรมดังกล่าว มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาล เรื่องพระราชพิธี (สิบสองเดือน) ประจำปี ดังมีตอนที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ว่า "เดือน 11 อาสยุชแข่งเรือ" "เดือน 12 พิทธีจรองเปรียงลดชุดลอยโคม" เดือน 1 ไล่เรือเถลีงพิทธีตรียำพวาย"

ถ้าตัดชื่อแขกๆ ประเภทบาลีสันสกฤตอันเป็นพิธีพราหมณ์ออกเสียบ้าง ชื่อที่เหลือก็คือเดือนสิบเอ็ดแข่งเรือ เดือนสิบสองลดชุดลอยโคมลงน้ำ เดือนอ้ายไล่เรือ

จะสังเกตเห็นว่าประเพณีพิธีกรรมทั้งสามรายการในสามเดือนนี้ มีลักษณะสอดคล้องต้องกัน เกี่ยวดองต่อเนื่องและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้งเป็นเรื่องที่จะต้องปฏิบัติในแม่น้ำลำคลองเช่นเดียวกัน ซึ่งล้วนแต่มีเหตุมาจาก"ฤดู"อาสยุชน้ำนองหาว" และบทลำนำคำขับคำร้องเล่นๆ ของชาวบ้านแถวที่ราบลุ่มรำพึงรำพันเกี้ยวสาวออกมาว่า



เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง

เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็ (จะ) รี่ไหลลง

ความหมายแท้จริงที่เกี่ยวกับน้ำและความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้และเข้า ใจร่วมกันมาแต่ดั้งเดิมนั้น ยังมีร่องรอยอยู่บ้างดังที่ลาลูแบรมีบันทึกเกี่ยวกับความหมายของประเพณีลด ชุดลอยโคมลงน้ำทั้งในพระนครศรีอยุธยา และในละโว้ (ลพบุรี) ว่า "

ประชาชนพลเมืองจะแสดงความขอบคุณแม่คงคาด้วยการตามประทีปโคมไฟขนาดใหญ่ (ในแม่น้ำ) อยู่หลายคืน...เราจะได้เห็นทั้งลำแม่น้ำเต็มไปด้วยดวงประทีปลอยน้ำ...ไปตาม กระแสธาร มีขนาดใหญ่ย่อมต่างกันตามศรัทธาปสาทะของแต่ละคน...

โดยนัยเดียวกัน เพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่พระธรณี ที่อนุเคราะห์ให้เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ในวันต้นๆ ของปีใหม่ชาวสยามก็จะตามประทีปโคมไฟขึ้นอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง"

พิธีกรรมดังกล่าวมานี้ นอกจากจะมีความสำคัญทั้งในราชสำนักและในชุมชนหมู่บ้านต่างๆมาตลอดสมัยกรุง ศรีอยุธยาแล้ว (และมีความสำคัญมาช้านานก่อนจะมี กรุงศรีอยุธยา) ยังมีการปฏิบัติต่อเนื่องสืบประเพณีผ่านสมัยกรุงธนบุรีมาจนถึงสมัยกรุงเทพฯ ดังพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนระบุว่าพิธีลอยพระประทีปกลางเดือน 11 ออกพรรษาเหมือนกับลอยพระประทีปในเดือน 12 และเรื่องนพมาศ (ในรัชกาลที่ 3) บอกร่องรอยไว้

ฟันน้ำ

กระทำบำเรอพลีกรรมด้วยความอ่อนน้อมจนถึงที่สุดแล้ว ถ้ายังไม่บังเกิดผลดีตามที่มุ่งหมายและคาดหวังเอาไว้ ก็เห็นจะต้องใช้" ไม้แข็ง" คือวิธีการที่แข็งกร้าวกันบ้าง เรียกพิธีกรรมนี้ว่า ไล่เรือ ไล่น้ำ ฟันน้ำ เพื่อให้น้ำลดลงเร็วที่สุด

บันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์ "เสด็จไปประกอบพระราชพิธีฟันน้ำเพื่อมิให้น้ำท่วมมากขึ้น"

เรื่องพิธีกรรมฟันน้ำในบันทึกฝรั่งเศสนี้ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงจะต้องเชื่อเพราะมีคำบอกเล่าในลักษณะตำนานและนิทานจดไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษรว่า

พระนารายณ์ทรงมีบุญญาภินิหารและอิทธิฤทธิ์มาก วันหนึ่งเสด็จทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยในเวลาน้ำขึ้น รับสั่งว่าให้น้ำลดแล้วทรงพระแสงฟันลงไป น้ำก็ลดลงตามพระราชประสงค์" (คำให้การขุนหลวงหาวัด)

คำบอกเล่าดังกล่าวนี้น่าเชื่อถือ และใช้อธิบายได้ว่าพิธีกรรมฟันน้ำก็คือพระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงประทับเรือพระ ที่นั่งไปกลางน้ำแล้วทรงใช้พระแสงฟันลงไปในน้ำเพื่อให้น้ำลดโดยเร็ว

พิธีกรรมนี้มิได้แสดงความอ่อนน้อมอ้อนวอนร้องขอแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยลักษณะ"แกมบังคับ" หรือ"บงการ"อย่างแข็งกร้าวทีเดียว

ความแข็งกร้าวของพิธีกรรมไล่เรือ ไล่น้ำ และฟันน้ำ จะได้ผลหรือไม่? น้ำจะลดลงไปจริงหรือไม่จริง? นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญทั้งหมดของการทำพิธีกรรม เพราะสาระที่สำคัญกว่าอย่างหนึ่งจะอยู่ที่การ "ผ่อนคลาย" เมื่อผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็สบายใจแล้ว

แต่พิธีไล่เรือ ไล่น้ำและฟันน้ำนี้มิได้ทำทุกปี ถ้าปีไหนน้ำไม่ท่วมก็ไม่ต้องทำพิธี ต่อปีไหนมีน้ำมากเกินไปจึงทำ

พิธี ประจำคือแข่งเรือและชักโคมแขวนโคมลอยโคมพระประทีปที่เรียกกันภายหลังว่าลอย กระทง เพื่อแสดงความเคารพด้วยสำนึกในพระเดชพระคุณของดินและน้ำ ทั้งเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ให้เกิดแก่ชุมชนบ้านเมืองและอาณาจักรด้วย

ในกระบวนพิธีกรรมทั้งหมดที่กระทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน 11 จนถึง เดือน 12 เดือนอ้ายและเดือนยี่นั้น พิธีที่เกี่ยวกับลอยโคมพระประทีปลงน้ำ หรือ"ลอยกระทง"จะมีความสำคัญมากที่สุด
ดังจะเห็นจากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ว่าพระเจ้าแผ่นดินในกรุงศรีอยุธยาจะเสด็จ พระราชดำเนินเพื่อทรงทำพิธีกรรมนี้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทั้งเป็นพิธีกรรมที่ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วมกระทำทั่วทั้งราชอาณาจักรด้วย


หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01011052&sectionid=0131&day=2009-10-01

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm

นายกฯ สั่งยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปค.ระงับ 76 โครงการมาบตาพุด

   กลับไป-หน้าก่อนหน้า

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 15:20:51 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายกฯ สั่งยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปค.ระงับ 76 โครงการมาบตาพุด

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ หารือกันอย่างกว้างขวางถึงกรณีคำสั่งศาลปกครองกลางที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่ว คราวให้ระงับโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 76 โครงการ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชีวะ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า จะต้องเตรียมยื่นอุทธรณ์ภายใน 1-2 วันนี้ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมนัดประชุมด่วน เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลภายในวันนี้ได้ทัน หรือไม่


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับโครงการลงทุนในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด 76 โครงการนั้น ถือว่าส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กำลังจะตัดสินใจเข้ามาลงทุน ในไทย จากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีนโยบายเชิญชวนนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนใน ไทยมากขึ้น จึงถูกทำให้มองว่าค่อนข้างจะสวนทางกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน ควรจะหารือร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไข เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนระยะยาวใน ประเทศไทยได้ ซึ่งล่าสุดมีนักลงทุนจากต่างชาติสอบถามถึงกรณีคำสั่งศาลปกครองกลางเข้ามา ค่อนข้างมาก


ประธาน ส.อ.ท. มองว่า โครงการลงทุนต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ถูกชะลอไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นโครงการอุตสาหกรรมต้นน้ำ และเป็นการผลิตเพื่อช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถทดแทนการนำเข้าได้เป็นมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท/ปี และช่วยสร้างงานได้ราว 1 แสนคน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรีบหาทางออกสำหรับปัญหาดังกล่าว ซึ่งภาคเอกชนอาจจะมีประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) นัดพิเศษ เพื่อเสนอเรื่องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยหาแนวทางแก้ไขต่อไป


ส่วนกรณีที่ บมจ.ปตท.(PTT) อาจเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งศาลปกครองดังกล่าวนั้น นายสันติ กล่าวว่า เป็นสิทธิที่ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจะสามารถดำเนินการได้ และเชื่อว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) จะร่วมอุทธรณ์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อต้องการทำให้การลงทุนในโครงการกลับมาได้เหมือนเดิม.


ศาลปกครองมีคำสั่งระงับชั่วคราว 76 โครงการ มูลค่า 400,000 ล้าน มาบตาพุด

 

ศาลปกครองกลาง องค์คณะที่ 19  โดยนายภานุพันธ์ ชัยรัต ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ซึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนมีคำสั่งเมื่วันที่ 29กันยายน 2552 ให้บรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี ให้ระงับ 76 โครงการ(มูลค่า 400,000 ล้านบาท)ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อเมแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐรวม 8 แห่งอนุมัติให้ดำเนินการในพื้นที่ชุมชนมาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อคุ้มครองชุมชนมาบตาพุดในด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ


คดีนี้ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและประชาชนชาวมาบตาพุด รวม43 ราย  ได้ยื่นฟ้อง  คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่า ร่วมกันออกคำสั่งโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอน วิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในกฎหมาย  ตลอดจนละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร


โดยเฉพาะตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่ จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนใน ชุมชนจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน และให้องค์กรอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ หรือด้านสุขภาพให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากร ธรรมชาติและสุขภาพเสียก่อน


 แต่ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งแปดยังคงรับเรื่อง พิจารณา หรือให้ความเห็นชอบ อนุมัติ อนุญาตให้ดำเนินโครงการหรือกิจกรรมหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพในพื้นที่จังหวัดระยองตามปกติเหมือนที่เคยทำมา มีจำนวนถึงกว่า 76 โครงการ โดยไม่สนใจว่า จะต้องนำบทบัญญัติของกฎหมายมาไปปฏิบัติในทันที


ในคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีกับพวกได้ยื่นคำขอมาพร้อมกับ คำฟ้องโดยขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยขอให้ศาลมีคำสั่งระงับโครงการหรือกิจกรรม จำนวน 76 โครงการ ที่กำลังดำเนินการในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอบ้านฉาง และใกล้เคียงจังหวัดระยอง ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลจะมีคำพิพากษา


ศาลมีคำสั่งให้คู่กรณีมาฟังคำชี้แจงเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ของศาลเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2552  และมีคำสั่งให้คู่กรณีจัดส่งเอกสารและข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณากำหนด มาตรการหรือวิธีการคุ้มครองใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา และได้นัดไต่สวนเพื่อฟังคำชี้แจงของคู่กรณีและฟังถ้อยคำของผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อวันที่ 23กันยายน 2552 เพื่อรับฟังคำชี้แจงและการให้ถ้อยคำด้วยวาจาประกอบเอกสารที่ได้ยื่นต่อศาล ไว้แล้ว


 ศาลพิเคราะห์ว่า จากคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงที่ 43ประกอบรายงานการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งการประกาศเขตควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 30เมษายน 2552 แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่ตรงกันว่า ในเวลาที่ผ่านมาและในปัจจุบันปัญหามลพิษจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม บริเวณชุมชนมาบตาพุดมีอยู่จริงและมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และสถานการณ์ของปัญหามลพิษมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น จึงต้องประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ จึงเห็นว่า คำฟ้องมีมูลและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา คดีตามที่ขอมาใช้ได้ และผู้ขอจะได้รับความเดือดร้อนเสียหายต่อไปหากมีการอนุญาตให้ประกอบกิจการ อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 


กรณีความรับผิดชอบของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ศาลพิเคราะห์ว่า โดยรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24สิงหาคม 2550 ซึ่งตามหลักสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญทำให้บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสิทธิและ เสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับทันที โดยไม่ต้องรอให้มีการบัญญัติกฎหมายอนุวัตรการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เสียก่อน และศาลปกครองต้องผูกพันในการใช้บังคับและการตีความกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของชนชาวไทยตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ตามมาตรา27  ของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่บัญญัติว่า สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้ง องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง


เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 67 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ 2550 ได้บัญญัติ รับรองสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยที่เป็นเนื้อหาสำคัญไว้ คือ สิทธิในการดํารงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อ ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน เพื่อเป็นเจตจำนงให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องตระหนักถึงสิทธิในสิ่งแวด ล้อมและสุขภาพที่ดี และเพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของการคุ้มครองสิทธิดังกล่าว ได้บัญญัติรับรองสิทธิที่เป็นกระบวนการเพื่อสนับสนุนการคุ้มครองสิทธิดัง กล่าวไว้ในมาตราเดียวกัน ได้แก่ สิทธิในการมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์บํารุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครองส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม


 และในมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2550 ยังได้บัญญัติเจตนารมณ์หลักในการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวไว้ คือ ห้ามดําเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ แต่ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ภายใต้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ การศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย และการให้องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษา ที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากร ธรรมชาติหรือด้านสุขภาพให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดําเนินการดังกล่าว แต่หลักเกณฑ์ที่กล่าวมาเป็นเพียงข้อยกเว้น จึงต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ เมื่อจะออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทาง ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสอง ให้ครบถ้วนเสียก่อน

 

นอกจากนี้ มาตรา 67 วรรคสาม ได้บัญญัติมาตรการซึ่งเป็นสภาพบังคับเพื่อให้มีการปฏิบัติให้เป็นบทบัญญัติ มาตรา 67 คือ การรับรองสิทธิของชุมชนที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัตินี้  และเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ มีเจตนารมณ์เพื่อให้มีการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจกรรมที่อาจส่ง ผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงไว้เป็นการล่วงหน้า เพื่อแต่ละโครงการหรือกิจกรรมดังกล่าวจะได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่รัฐ ธรรมนูญกำหนดไว้ตามหลักการป้องกันล่วงหน้า ไม่มีเจตนารมณ์ให้มีการออกใบอนุญาตโครงการหรือกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรงก่อน แล้วใช้หลักการควบคุมหรือหลักการเยียวยาหากเกิดความเสียหายขึ้นในภายหลัง เนื่องจากหลักการควบคุมหรือหลักการเยียวยาไม่ใช่หลักประกันที่มีประสิทธิภาพ ที่สุดในการคุ้มครองสิทธิการดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวด ล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือคุณภาพชีวิตของประชาชน เพราะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขในภายหลัง หลายประการ


 ดังนั้น จึงกำหนดหลักการป้องกันล่วงหน้า ทั้งที่เป็นกระบวนการไว้ในบทบัญญัติมาตรา 67  วรรคหนึ่งและวรรคสอง คือ การมีส่วนร่วม การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและจากองค์กรต่างๆ เป็นต้น และกำหนดหลักการซึ่งเป็นสภาพบังคับไว้ในบทบัญญัติมาตรา 67 รรคสาม คือ การฟ้องคดีเพื่อบังคับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรานี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 27ของรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่า คณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐต้องผูกพันในการใช้อำนาจเพื่อกำหนดว่าประเภท และขนาดของโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร ธรรมชาติและสุขภาพ ในทันทีที่บทบัญญัติมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลใช้บังคับ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ครบถ้วนก่อนที่ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะพิจารณาออกใบอนุญาตตามอำนาจหน้าที่ ต่อไป         

 

เมื่อพิเคราะห์จากคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งแปดที่ว่า ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลใช้บังคับเมื่อ 24 สิงหาคม 2550 มีการออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมตามเอกสารคำท้ายฟ้อง โดยยังไม่ได้มีการกำหนดว่าโครงการหรือกิจกรรมใดเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ รวมทั้งยังไม่ได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 67 วรรคสอง

 

ศาลเห็นว่า เป็นกรณีที่มีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ


กรณีปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นแก่การบริหารงานของรัฐหากกำหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี ศาลพิเคราะห์ว่า ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้น และอาจจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐตามคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง แปดและถ้อยคำของผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของโครงการหรือกิจกรรมตามเอกสารท้ายคำ ฟ้องตามที่ กล่าวมานั้น สามารถป้องกันแก้ไขและบรรเทาให้ลดน้อยลงได้ด้วยการบริหารราชการแผ่นดินตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็น สำคัญตามแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ และการบริหารจัดการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างภาครัฐและเอกชน และเห็นว่าการบริหารงานของรัฐนั้นยังต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ทางสังคมตามหลักนิติธรรมตามที่บทบัญญัติไว้ในมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ และหลักการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามมาตรา 3/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534


ดังนั้น เมื่อมีกรณีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิในการดํารง ชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อ สุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพที่เป็นเนื้อหาสำคัญของรัฐธรรมนูญ การกระทำทางการปกครองใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะ เหตุที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิและ เสรีภาพของประชาชน เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องตระหนัก


เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ปัญหามลพิษจากการประกอบกิจการของโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษสูงซึ่งรวมกัน อยู่ในพื้นที่มาบตาพุดอันเป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศมีอยู่จริง และส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ของปัญหามลพิษมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น จึงมีเหตุจำเป็นและเป็นการยุติธรรมและสมควรตามหลักนิติธรรม หลักการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และหลักการบริหารงานของรัฐอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงสมควรกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการ พิพากษาคดี


 ศาลจึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ดังนี้


ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งแปดสั่งระงับ โครงการหรือกิจกรรมไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ยกเว้น โครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับใบอนุญาตก่อนวันประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โครงการ หรือกิจกรรมที่ไม่ได้กำหนดให้เป็นประเภทโครงการหรือกิจกรรมที่ต้องจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล กระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 16 มิถุนายน2552 ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 67วรรคสอง

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1254299004&grpid=03&catid=00
--
      Weblink
seminar
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminarsat.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

22 กันยายน 2552 เวลา: 18.00 นาฬิกา พารากอนซีนีเพล็กซ์ ชั้น 5 สยามพารากอน

บอกต่อ:

กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขอเชิญคุณร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานฉายภาพยนตร์สะท้อนภาวะโลกร้อนเรื่อง The Age of Stupid ที่ได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม สร้างโดยแฟรนนี่ อาร์มสตรอง ผู้กำกับ McLibel ผู้สร้างผลงานรางวัลออสการ์ เรื่อง One Day in September นำแสดงโดย พีท โพสเลธเวท ผู้ได้รับการเสนอชิงรางวัลออสการ์ ในเรื่องมีบทบาทเป็นชายชราที่อาศัยอยู่ในโลกที่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลองในพ. ศ.2598 เขาดูบันทึกเหตุการณ์จากพ.ศ.2551 และถามว่า "ทำไมเราไม่หยุดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อมีโอกาส"


ทุนสร้าง 450,000 ยูโร ซึ่งได้รับบริจาคมาจากคนทั่วโลก รวม 228 คน ที่ร่วมลงทุนระหว่าง 500 ถึง 35,000 ยูโร ทุกคนในจำนวนนี้เป็นเจ้าของหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับทีมงาน ซึ่งได้ค่าจ้างประมาณแค่ค่าแรงขั้นต่ำ โดยเป้าหมายของภารกิจคือโน้มน้าวผู้ชม 250 ล้านคนให้เป็นนักกิจกรรมภาวะโลกร้อน โดยพุ่งเป้าไปยังการประชุมสุดยอดเรื่องภาวะโลกร้อนครั้งสำคัญ ณ กรุงโคเปนเฮเกน ในเดือนธันวาคม 2552



ขอเชิญร่วมกิจกรรมพบปะสังสรรค์ และเล่นเกมส์รับของรางวัล ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ยุติโลกร้อน หน้าโรงภาพยนตร์ ก่อนภาพยนตร์ฉาย

ในที่นี้ กรีนพีซขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมลงชื่อเพื่อยุติโลกร้อนได้ที่นี่ เลยด้วยนะคะ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เราไม่มีงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ และเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าจะนำหนังนอกกระแส ซึ่งเป็นภาพยนตร์ดรามา-สารคดี-แอนนิเมชั่นเข้ามาฉาย ทางเราจึงขอความกรุณาช่วยกันบอกกันต่อๆ ไปด้วย

"ตรงไปตรงมา ชวนคิดและมีความหมายอย่างยิ่ง ... มิเพียงเป็นเสียงเรียกจากหัวใจ หากยังเป็นเสียงกู่ร้องขอการเปลี่ยนแปลงอันจำเป็น"
เดอะ เดลี่ เทเลกร๊าฟ

”แปลกใหม่...ลึกซึ้ง...ชวนติดตาม... นี่คือ An Inconvenient Truth ที่มีชีวิตจิตใจ”
แอลเอ ไทม์


จองตั๋วได้แล้ววันนี้

ฉายวันที่: 22 กันยายน 2552
เวลา: 18.00 นาฬิกา
สถานที่: พารากอนซีนีเพล็กซ์ ชั้น 5 สยามพารากอน
ราคา: 120 บาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ จองตั๋วได้ที่กรีนพีซ: คุณลลนา หรือ คุณรานี โทร. 02 357 1921 หรือ 081 347 5920

Date shown: 22 September 2009
Time: 6 pm
Place: 5th floor, Paragon Cineplex, Siam Paragon
Price: 120 baht
For more information and to book the ticket, call Greenpeace SEA at Lalana or Ranee - 02 357 1921 or 081 347 5920
For the movie's information, visit: http://ageofstupid.net



เปลวไฟที่ออกมาจากการเผาไหม้ของแก๊สของบริษัทน้ำมันเชลล์ ในไนจีเรีย



ไฟไหม้ที่โรงโอเปร่าแห่งซิดนีย์


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
wong
http://seminarsweet.blogspot.com/  ilaw
http://sunsweet09.blogspot.com/    youth
http://dbd652.blogspot.com/         dbd652
http://www.thaicyberu.go.th/
http://www.youtube.com/greenpeacethailand