อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

นายกฯ สั่งยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปค.ระงับ 76 โครงการมาบตาพุด

   กลับไป-หน้าก่อนหน้า

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 15:20:51 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นายกฯ สั่งยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปค.ระงับ 76 โครงการมาบตาพุด

เมื่อวันที่ 30 กันยายน นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ หารือกันอย่างกว้างขวางถึงกรณีคำสั่งศาลปกครองกลางที่มีคำสั่งคุ้มครองชั่ว คราวให้ระงับโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 76 โครงการ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชีวะ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า จะต้องเตรียมยื่นอุทธรณ์ภายใน 1-2 วันนี้ และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมนัดประชุมด่วน เพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลภายในวันนี้ได้ทัน หรือไม่


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ระงับโครงการลงทุนในนิคม อุตสาหกรรมมาบตาพุด 76 โครงการนั้น ถือว่าส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่กำลังจะตัดสินใจเข้ามาลงทุน ในไทย จากที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลมีนโยบายเชิญชวนนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนใน ไทยมากขึ้น จึงถูกทำให้มองว่าค่อนข้างจะสวนทางกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชน ควรจะหารือร่วมกันเพื่อหาทางแก้ไข เพราะหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนระยะยาวใน ประเทศไทยได้ ซึ่งล่าสุดมีนักลงทุนจากต่างชาติสอบถามถึงกรณีคำสั่งศาลปกครองกลางเข้ามา ค่อนข้างมาก


ประธาน ส.อ.ท. มองว่า โครงการลงทุนต่างๆ ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ถูกชะลอไปนั้น ส่วนใหญ่เป็นโครงการอุตสาหกรรมต้นน้ำ และเป็นการผลิตเพื่อช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งสามารถทดแทนการนำเข้าได้เป็นมูลค่าถึง 3 แสนล้านบาท/ปี และช่วยสร้างงานได้ราว 1 แสนคน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรีบหาทางออกสำหรับปัญหาดังกล่าว ซึ่งภาคเอกชนอาจจะมีประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน(กกร.) นัดพิเศษ เพื่อเสนอเรื่องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ช่วยหาแนวทางแก้ไขต่อไป


ส่วนกรณีที่ บมจ.ปตท.(PTT) อาจเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อคำสั่งศาลปกครองดังกล่าวนั้น นายสันติ กล่าวว่า เป็นสิทธิที่ภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจะสามารถดำเนินการได้ และเชื่อว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) จะร่วมอุทธรณ์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อต้องการทำให้การลงทุนในโครงการกลับมาได้เหมือนเดิม.


ศาลปกครองมีคำสั่งระงับชั่วคราว 76 โครงการ มูลค่า 400,000 ล้าน มาบตาพุด

 

ศาลปกครองกลาง องค์คณะที่ 19  โดยนายภานุพันธ์ ชัยรัต ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลาง ซึ่งเป็นตุลาการเจ้าของสำนวนมีคำสั่งเมื่วันที่ 29กันยายน 2552 ให้บรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี ให้ระงับ 76 โครงการ(มูลค่า 400,000 ล้านบาท)ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อเมแห่งชาติและหน่วยงานของรัฐรวม 8 แห่งอนุมัติให้ดำเนินการในพื้นที่ชุมชนมาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อคุ้มครองชุมชนมาบตาพุดในด้านสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ


คดีนี้ สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนและประชาชนชาวมาบตาพุด รวม43 ราย  ได้ยื่นฟ้อง  คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ  เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ว่า ร่วมกันออกคำสั่งโดยไม่ถูกต้องตามขั้นตอน วิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในกฎหมาย  ตลอดจนละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร


โดยเฉพาะตามมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2550 ที่กำหนดให้โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จะกระทำมิได้ เว้นแต่ จะได้ศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนใน ชุมชนจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียก่อน และให้องค์กรอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม หรือทรัพยากรธรรมชาติ หรือด้านสุขภาพให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมทรัพยากร ธรรมชาติและสุขภาพเสียก่อน


 แต่ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2550 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งแปดยังคงรับเรื่อง พิจารณา หรือให้ความเห็นชอบ อนุมัติ อนุญาตให้ดำเนินโครงการหรือกิจกรรมหรือกิจการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพในพื้นที่จังหวัดระยองตามปกติเหมือนที่เคยทำมา มีจำนวนถึงกว่า 76 โครงการ โดยไม่สนใจว่า จะต้องนำบทบัญญัติของกฎหมายมาไปปฏิบัติในทันที


ในคดีนี้ ผู้ฟ้องคดีกับพวกได้ยื่นคำขอมาพร้อมกับ คำฟ้องโดยขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยขอให้ศาลมีคำสั่งระงับโครงการหรือกิจกรรม จำนวน 76 โครงการ ที่กำลังดำเนินการในพื้นที่ตำบลมาบตาพุด อำเภอบ้านฉาง และใกล้เคียงจังหวัดระยอง ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนศาลจะมีคำพิพากษา


ศาลมีคำสั่งให้คู่กรณีมาฟังคำชี้แจงเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ของศาลเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2552  และมีคำสั่งให้คู่กรณีจัดส่งเอกสารและข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณากำหนด มาตรการหรือวิธีการคุ้มครองใดๆ เพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา และได้นัดไต่สวนเพื่อฟังคำชี้แจงของคู่กรณีและฟังถ้อยคำของผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อวันที่ 23กันยายน 2552 เพื่อรับฟังคำชี้แจงและการให้ถ้อยคำด้วยวาจาประกอบเอกสารที่ได้ยื่นต่อศาล ไว้แล้ว


 ศาลพิเคราะห์ว่า จากคำชี้แจงของผู้ฟ้องคดีที่ 3 ถึงที่ 43ประกอบรายงานการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งการประกาศเขตควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 30เมษายน 2552 แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงที่ตรงกันว่า ในเวลาที่ผ่านมาและในปัจจุบันปัญหามลพิษจากการประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรม บริเวณชุมชนมาบตาพุดมีอยู่จริงและมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และสถานการณ์ของปัญหามลพิษมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น จึงต้องประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการควบคุม ลด และขจัดมลพิษ จึงเห็นว่า คำฟ้องมีมูลและมีเหตุเพียงพอที่จะนำวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนการพิพากษา คดีตามที่ขอมาใช้ได้ และผู้ขอจะได้รับความเดือดร้อนเสียหายต่อไปหากมีการอนุญาตให้ประกอบกิจการ อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 


กรณีความรับผิดชอบของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ศาลพิเคราะห์ว่า โดยรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 24สิงหาคม 2550 ซึ่งตามหลักสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญทำให้บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสิทธิและ เสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับทันที โดยไม่ต้องรอให้มีการบัญญัติกฎหมายอนุวัตรการให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าว เสียก่อน และศาลปกครองต้องผูกพันในการใช้บังคับและการตีความกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพของชนชาวไทยตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ตามมาตรา27  ของรัฐธรรมนูญ 2550 ที่บัญญัติว่า สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยายหรือโดยคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมได้รับความคุ้มครองและผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้ง องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และการตีความกฎหมายทั้งปวง


เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 67 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ 2550 ได้บัญญัติ รับรองสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยที่เป็นเนื้อหาสำคัญไว้ คือ สิทธิในการดํารงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อ ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของตน เพื่อเป็นเจตจำนงให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องตระหนักถึงสิทธิในสิ่งแวด ล้อมและสุขภาพที่ดี และเพื่อให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของการคุ้มครองสิทธิดังกล่าว ได้บัญญัติรับรองสิทธิที่เป็นกระบวนการเพื่อสนับสนุนการคุ้มครองสิทธิดัง กล่าวไว้ในมาตราเดียวกัน ได้แก่ สิทธิในการมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์บํารุงรักษา และการได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ และในการคุ้มครองส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม


 และในมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ 2550 ยังได้บัญญัติเจตนารมณ์หลักในการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวไว้ คือ ห้ามดําเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ แต่ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ภายใต้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ การศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย และการให้องค์การอิสระ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนองค์การเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และผู้แทนสถาบันอุดมศึกษา ที่จัดการการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากร ธรรมชาติหรือด้านสุขภาพให้ความเห็นประกอบก่อนมีการดําเนินการดังกล่าว แต่หลักเกณฑ์ที่กล่าวมาเป็นเพียงข้อยกเว้น จึงต้องได้รับการปฏิบัติโดยเคร่งครัด คือ เมื่อจะออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทาง ด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสอง ให้ครบถ้วนเสียก่อน

 

นอกจากนี้ มาตรา 67 วรรคสาม ได้บัญญัติมาตรการซึ่งเป็นสภาพบังคับเพื่อให้มีการปฏิบัติให้เป็นบทบัญญัติ มาตรา 67 คือ การรับรองสิทธิของชุมชนที่จะฟ้องหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ ราชการส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามบทบัญญัตินี้  และเห็นว่า บทบัญญัติมาตรา 67 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ มีเจตนารมณ์เพื่อให้มีการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจกรรมที่อาจส่ง ผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงไว้เป็นการล่วงหน้า เพื่อแต่ละโครงการหรือกิจกรรมดังกล่าวจะได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่รัฐ ธรรมนูญกำหนดไว้ตามหลักการป้องกันล่วงหน้า ไม่มีเจตนารมณ์ให้มีการออกใบอนุญาตโครงการหรือกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อ ชุมชนอย่างรุนแรงก่อน แล้วใช้หลักการควบคุมหรือหลักการเยียวยาหากเกิดความเสียหายขึ้นในภายหลัง เนื่องจากหลักการควบคุมหรือหลักการเยียวยาไม่ใช่หลักประกันที่มีประสิทธิภาพ ที่สุดในการคุ้มครองสิทธิการดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวด ล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพหรือคุณภาพชีวิตของประชาชน เพราะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เป็นเงื่อนไขในภายหลัง หลายประการ


 ดังนั้น จึงกำหนดหลักการป้องกันล่วงหน้า ทั้งที่เป็นกระบวนการไว้ในบทบัญญัติมาตรา 67  วรรคหนึ่งและวรรคสอง คือ การมีส่วนร่วม การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและจากองค์กรต่างๆ เป็นต้น และกำหนดหลักการซึ่งเป็นสภาพบังคับไว้ในบทบัญญัติมาตรา 67 รรคสาม คือ การฟ้องคดีเพื่อบังคับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรานี้ ซึ่งเมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 27ของรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่า คณะรัฐมนตรีหรือหน่วยงานของรัฐต้องผูกพันในการใช้อำนาจเพื่อกำหนดว่าประเภท และขนาดของโครงการหรือกิจกรรมใดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากร ธรรมชาติและสุขภาพ ในทันทีที่บทบัญญัติมาตรา 67 ของรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลใช้บังคับ เพื่อให้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้ครบถ้วนก่อนที่ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะพิจารณาออกใบอนุญาตตามอำนาจหน้าที่ ต่อไป         

 

เมื่อพิเคราะห์จากคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งแปดที่ว่า ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2550 มีผลใช้บังคับเมื่อ 24 สิงหาคม 2550 มีการออกใบอนุญาตให้แก่โครงการหรือกิจกรรมตามเอกสารคำท้ายฟ้อง โดยยังไม่ได้มีการกำหนดว่าโครงการหรือกิจกรรมใดเป็นโครงการหรือกิจกรรมที่ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ รวมทั้งยังไม่ได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 67 วรรคสอง

 

ศาลเห็นว่า เป็นกรณีที่มีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของ ประชาชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ


กรณีปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นแก่การบริหารงานของรัฐหากกำหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดี ศาลพิเคราะห์ว่า ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้น และอาจจะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐตามคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง แปดและถ้อยคำของผู้รับมอบอำนาจจากเจ้าของโครงการหรือกิจกรรมตามเอกสารท้ายคำ ฟ้องตามที่ กล่าวมานั้น สามารถป้องกันแก้ไขและบรรเทาให้ลดน้อยลงได้ด้วยการบริหารราชการแผ่นดินตาม หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็น สำคัญตามแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐ และการบริหารจัดการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างภาครัฐและเอกชน และเห็นว่าการบริหารงานของรัฐนั้นยังต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ทางสังคมตามหลักนิติธรรมตามที่บทบัญญัติไว้ในมาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ และหลักการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ตามมาตรา 3/1 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534


ดังนั้น เมื่อมีกรณีปัญหาความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เกี่ยวกับความรับผิดชอบของ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อคุ้มครองสิทธิในการดํารง ชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อ สุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพที่เป็นเนื้อหาสำคัญของรัฐธรรมนูญ การกระทำทางการปกครองใดที่มีปัญหาเกี่ยวกับความน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะ เหตุที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิและ เสรีภาพของประชาชน เป็นเรื่องที่ศาลจะต้องตระหนัก


เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ปัญหามลพิษจากการประกอบกิจการของโรงงานอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษสูงซึ่งรวมกัน อยู่ในพื้นที่มาบตาพุดอันเป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดของประเทศมีอยู่จริง และส่งผลกระทบต่อชุมชนอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ของปัญหามลพิษมีแนวโน้มที่รุนแรงมากขึ้น จึงมีเหตุจำเป็นและเป็นการยุติธรรมและสมควรตามหลักนิติธรรม หลักการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน และหลักการบริหารงานของรัฐอย่างยั่งยืนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงสมควรกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการ พิพากษาคดี


 ศาลจึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์เป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ดังนี้


ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งแปดสั่งระงับ โครงการหรือกิจกรรมไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ยกเว้น โครงการหรือกิจกรรมที่ได้รับใบอนุญาตก่อนวันประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 โครงการ หรือกิจกรรมที่ไม่ได้กำหนดให้เป็นประเภทโครงการหรือกิจกรรมที่ต้องจัดทำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล กระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ 16 มิถุนายน2552 ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 67วรรคสอง

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1254299004&grpid=03&catid=00
--
      Weblink
seminar
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminarsat.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น