แข่งเรือ เดือน 11 ไล่น้ำ ฟันน้ำ ให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวจนตาย
คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม
![]() แข่งเรือไทย-ลาวในแม่น้ำโขง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อ พ.ศ. 2537 |
เดือนสิบเอ็ด ทางจันทรคติของชุมชนท้องถิ่นพวกหนึ่งในอุษาคเนย์ เริ่มวันแรกขึ้น 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ตรงกับปฏิธินสากลทางสุริยคติ วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2552
ขณะที่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยานับเดือนสิบเอ็ด แต่ทางล้านนาและบางท้องถิ่นที่อยู่ตอนบนของภูมิภาคจนถึงทางใต้ของจีนนับ เดือนอ้าย เพราะนับเร็วกว่ากัน 2 เดือน ตามลักษณะแตกต่างทางภูมิศาสตร์
ประเพณีชาวบ้านช่วงเวลานี้สืบเนื่องจากเดือนก่อน (คือ เดือนสิบ) เป็นช่วงเวลาปลายพรรษา ยังมีฝนตกมากจนน้ำนองหลากทั่วไป รวงข้าวที่ผลิใหม่เมื่อเดือนก่อน เริ่มเปลี่ยนสีจากเหลืองอ่อนๆ เป็นเหลืองเข้มและเมล็ดอวบอ้วน อุดมสมบูรณ์ แต่ยังวางใจไม่ได้ว่าธรรมชาติจะอำนวยให้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงต้องมีพิธีเสี่ยงทายเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ ชาวบ้านเรียกแข่งเรือ แต่ในพระราชพิธีอย่างพราหมณ์เรียกอาสยุชพิธี มีในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา
แข่งเรือเสี่ยงทาย
พิธีแขงเรือเสี่ยงทาย เป็นของชุมชนชาวบ้านยุคดึกดำบรรพ์มาก่อน เมื่อราชสำนักมีขึ้นในสุวรรณภูมิ สยามประเทศก็ยกพิธีพราหมณ์จากชมพูทวีป(อินเดียโบราณ) เข้ามาผสมเพิ่มให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีก แล้วเรียกอย่างขลังๆ ว่าอาสยุชพิธี (อาสยุช แปลว่า เดือนสิบเอ็ด)
ข้อความในกฎมณเฑียรบาลพรรณนาไว้สั้นๆ ห้วนๆ โดยสรุปสาระสำคัญว่า สมรรถไชยเป็นเรือพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนไกรสรมุกข์เป็นเรือพระอัครมเหสี เรือทั้งสองลำ เป็นเรือเสี่ยงทาย" ให้ฝีพายแข่งกัน มีคำทำนายเป็นจารีตที่รู้กันก่อนแล้วว่า ถ้าเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดินพายแพ้เรือไกรสรมุกข์ของพระอัครมเหสี บ้านเมืองจะ เป็นสุขเกษมเปรมประชา มี "ข้าวเหลือ เกลืออิ่ม"
![]() (ซ้าย) ขบวนแห่ช้างในพิธีคเชนทรัศวสนานในพระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขียนซ่อมแซมจากจิตรกรรมฝาผนังเดิมที่เขียนสมัยรัชกาลที่ 5 (ขวา) ถวายผ้าพระกฐินหลวงทางสถลมารค พระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ เขียนในสมัยรัชกาลที่ 5 |
แต่ตรงข้ามถ้าเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดินชนะ บ้านเมือง"จะมียุค" หมายความว่าเกิดยากแค้นแสนสาหัส ข้าวไม่เหลือ เกลือไม่อิ่ม อดอยากปากแห้งเป็น กลียุค
แข่งเรือพนัน
ประเพณีแข่งเรือเสี่ยงทายค่อยๆคลายความเชื่อเรื่องเสี่ยงทายลงไปเรื่อยๆ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นแข่งเรือเพื่อสนุกสนานแล้วเล่นพนันขันต่อ มีอยู่ในบันทึกของชาวยุโรป เช่น ลาลูแบร์ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ แล้วเห็นชัดขึ้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ดังมีในนิราศเดือน ของหมื่นพรหมสมพัตสร(เสมียนมี) กวีสมัยรัชกาลที่ 3 พรรณนางานแห่กฐินมีแข่งเรือชาวบ้าน
ไล่น้ำ ให้น้ำลด
พิธีแข่งเรือเพื่อเสี่ยงทายในเดือน 11 ว่าอนาคตจะอุดมสมบูรณ์หรือข้าวยากหมากแพง เป็นเพียงจุดเริ่มตนพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำและดินของชุมชนเกษตรกสิกรรมที่มี สืบมาแต่ยุคดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ เพราะยังมีพิธีกรรมที่ต้องทำติ่อเนื่องไปอีกคือลอยกระทงเดือน 12 จนกว่าจะขึ้นฤดูกาลใหม่หรือปีใหม่ในเดือนอ้าย หรือเดือนที่หนึ่งของปีต่อไป
ร่องรอยของพิธีกรรมดังกล่าว มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาล เรื่องพระราชพิธี (สิบสองเดือน) ประจำปี ดังมีตอนที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ว่า "เดือน 11 อาสยุชแข่งเรือ" "เดือน 12 พิทธีจรองเปรียงลดชุดลอยโคม" เดือน 1 ไล่เรือเถลีงพิทธีตรียำพวาย"
ถ้าตัดชื่อแขกๆ ประเภทบาลีสันสกฤตอันเป็นพิธีพราหมณ์ออกเสียบ้าง ชื่อที่เหลือก็คือเดือนสิบเอ็ดแข่งเรือ เดือนสิบสองลดชุดลอยโคมลงน้ำ เดือนอ้ายไล่เรือ
จะสังเกตเห็นว่าประเพณีพิธีกรรมทั้งสามรายการในสามเดือนนี้ มีลักษณะสอดคล้องต้องกัน เกี่ยวดองต่อเนื่องและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้งเป็นเรื่องที่จะต้องปฏิบัติในแม่น้ำลำคลองเช่นเดียวกัน ซึ่งล้วนแต่มีเหตุมาจาก"ฤดู"อาสยุชน้ำนองหาว" และบทลำนำคำขับคำร้องเล่นๆ ของชาวบ้านแถวที่ราบลุ่มรำพึงรำพันเกี้ยวสาวออกมาว่า
![]() |
เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง
เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็ (จะ) รี่ไหลลง
ความหมายแท้จริงที่เกี่ยวกับน้ำและความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้และเข้า ใจร่วมกันมาแต่ดั้งเดิมนั้น ยังมีร่องรอยอยู่บ้างดังที่ลาลูแบรมีบันทึกเกี่ยวกับความหมายของประเพณีลด ชุดลอยโคมลงน้ำทั้งในพระนครศรีอยุธยา และในละโว้ (ลพบุรี) ว่า "
ประชาชนพลเมืองจะแสดงความขอบคุณแม่คงคาด้วยการตามประทีปโคมไฟขนาดใหญ่ (ในแม่น้ำ) อยู่หลายคืน...เราจะได้เห็นทั้งลำแม่น้ำเต็มไปด้วยดวงประทีปลอยน้ำ...ไปตาม กระแสธาร มีขนาดใหญ่ย่อมต่างกันตามศรัทธาปสาทะของแต่ละคน...
โดยนัยเดียวกัน เพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่พระธรณี ที่อนุเคราะห์ให้เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ในวันต้นๆ ของปีใหม่ชาวสยามก็จะตามประทีปโคมไฟขึ้นอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง"
พิธีกรรมดังกล่าวมานี้ นอกจากจะมีความสำคัญทั้งในราชสำนักและในชุมชนหมู่บ้านต่างๆมาตลอดสมัยกรุง ศรีอยุธยาแล้ว (และมีความสำคัญมาช้านานก่อนจะมี กรุงศรีอยุธยา) ยังมีการปฏิบัติต่อเนื่องสืบประเพณีผ่านสมัยกรุงธนบุรีมาจนถึงสมัยกรุงเทพฯ ดังพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนระบุว่าพิธีลอยพระประทีปกลางเดือน 11 ออกพรรษาเหมือนกับลอยพระประทีปในเดือน 12 และเรื่องนพมาศ (ในรัชกาลที่ 3) บอกร่องรอยไว้
ฟันน้ำ
กระทำบำเรอพลีกรรมด้วยความอ่อนน้อมจนถึงที่สุดแล้ว ถ้ายังไม่บังเกิดผลดีตามที่มุ่งหมายและคาดหวังเอาไว้ ก็เห็นจะต้องใช้" ไม้แข็ง" คือวิธีการที่แข็งกร้าวกันบ้าง เรียกพิธีกรรมนี้ว่า ไล่เรือ ไล่น้ำ ฟันน้ำ เพื่อให้น้ำลดลงเร็วที่สุด
บันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์ "เสด็จไปประกอบพระราชพิธีฟันน้ำเพื่อมิให้น้ำท่วมมากขึ้น"
เรื่องพิธีกรรมฟันน้ำในบันทึกฝรั่งเศสนี้ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงจะต้องเชื่อเพราะมีคำบอกเล่าในลักษณะตำนานและนิทานจดไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษรว่า
พระนารายณ์ทรงมีบุญญาภินิหารและอิทธิฤทธิ์มาก วันหนึ่งเสด็จทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยในเวลาน้ำขึ้น รับสั่งว่าให้น้ำลดแล้วทรงพระแสงฟันลงไป น้ำก็ลดลงตามพระราชประสงค์" (คำให้การขุนหลวงหาวัด)
คำบอกเล่าดังกล่าวนี้น่าเชื่อถือ และใช้อธิบายได้ว่าพิธีกรรมฟันน้ำก็คือพระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงประทับเรือพระ ที่นั่งไปกลางน้ำแล้วทรงใช้พระแสงฟันลงไปในน้ำเพื่อให้น้ำลดโดยเร็ว
พิธีกรรมนี้มิได้แสดงความอ่อนน้อมอ้อนวอนร้องขอแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยลักษณะ"แกมบังคับ" หรือ"บงการ"อย่างแข็งกร้าวทีเดียว
ความแข็งกร้าวของพิธีกรรมไล่เรือ ไล่น้ำ และฟันน้ำ จะได้ผลหรือไม่? น้ำจะลดลงไปจริงหรือไม่จริง? นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญทั้งหมดของการทำพิธีกรรม เพราะสาระที่สำคัญกว่าอย่างหนึ่งจะอยู่ที่การ "ผ่อนคลาย" เมื่อผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็สบายใจแล้ว
แต่พิธีไล่เรือ ไล่น้ำและฟันน้ำนี้มิได้ทำทุกปี ถ้าปีไหนน้ำไม่ท่วมก็ไม่ต้องทำพิธี ต่อปีไหนมีน้ำมากเกินไปจึงทำ
พิธี ประจำคือแข่งเรือและชักโคมแขวนโคมลอยโคมพระประทีปที่เรียกกันภายหลังว่าลอย กระทง เพื่อแสดงความเคารพด้วยสำนึกในพระเดชพระคุณของดินและน้ำ ทั้งเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ให้เกิดแก่ชุมชนบ้านเมืองและอาณาจักรด้วย
ในกระบวนพิธีกรรมทั้งหมดที่กระทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน 11 จนถึง เดือน 12 เดือนอ้ายและเดือนยี่นั้น พิธีที่เกี่ยวกับลอยโคมพระประทีปลงน้ำ หรือ"ลอยกระทง"จะมีความสำคัญมากที่สุด ดังจะเห็นจากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ว่าพระเจ้าแผ่นดินในกรุงศรีอยุธยาจะเสด็จ พระราชดำเนินเพื่อทรงทำพิธีกรรมนี้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทั้งเป็นพิธีกรรมที่ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วมกระทำทั่วทั้งราชอาณาจักรด้วย
หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01011052§ionid=0131&day=2009-10-01
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!
news9
http://pnac-th.blogspot.com/ pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น