อินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน
Bookmark and Share

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

แข่งเรือ เดือน 11 ไล่น้ำ ฟันน้ำ ให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวจนตาย

วันที่ 01 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11527 มติชนรายวัน


แข่งเรือ เดือน 11 ไล่น้ำ ฟันน้ำ ให้น้ำลดไม่ท่วมข้าวจนตาย


คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม




แข่งเรือไทย-ลาวในแม่น้ำโขง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อ พ.ศ. 2537

ตัด ทอนมาปรับปรุงใหม่จากหนังสือ ประเพณี 12 เดือน โดย ศาสตราจารย์ปรานี วงษ์เทศ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2548 อ่านฉบับเต็มในเว็บไซต์ www.sujitwongthes.com

เดือนสิบเอ็ด ทางจันทรคติของชุมชนท้องถิ่นพวกหนึ่งในอุษาคเนย์ เริ่มวันแรกขึ้น 1 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ตรงกับปฏิธินสากลทางสุริยคติ วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2552

ขณะที่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยานับเดือนสิบเอ็ด แต่ทางล้านนาและบางท้องถิ่นที่อยู่ตอนบนของภูมิภาคจนถึงทางใต้ของจีนนับ เดือนอ้าย เพราะนับเร็วกว่ากัน 2 เดือน ตามลักษณะแตกต่างทางภูมิศาสตร์

ประเพณีชาวบ้านช่วงเวลานี้สืบเนื่องจากเดือนก่อน (คือ เดือนสิบ) เป็นช่วงเวลาปลายพรรษา ยังมีฝนตกมากจนน้ำนองหลากทั่วไป รวงข้าวที่ผลิใหม่เมื่อเดือนก่อน เริ่มเปลี่ยนสีจากเหลืองอ่อนๆ เป็นเหลืองเข้มและเมล็ดอวบอ้วน อุดมสมบูรณ์ แต่ยังวางใจไม่ได้ว่าธรรมชาติจะอำนวยให้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงต้องมีพิธีเสี่ยงทายเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ ชาวบ้านเรียกแข่งเรือ แต่ในพระราชพิธีอย่างพราหมณ์เรียกอาสยุชพิธี มีในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา

แข่งเรือเสี่ยงทาย

พิธีแขงเรือเสี่ยงทาย เป็นของชุมชนชาวบ้านยุคดึกดำบรรพ์มาก่อน เมื่อราชสำนักมีขึ้นในสุวรรณภูมิ สยามประเทศก็ยกพิธีพราหมณ์จากชมพูทวีป(อินเดียโบราณ) เข้ามาผสมเพิ่มให้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอีก แล้วเรียกอย่างขลังๆ ว่าอาสยุชพิธี (อาสยุช แปลว่า เดือนสิบเอ็ด)

ข้อความในกฎมณเฑียรบาลพรรณนาไว้สั้นๆ ห้วนๆ โดยสรุปสาระสำคัญว่า สมรรถไชยเป็นเรือพระเจ้าแผ่นดิน ส่วนไกรสรมุกข์เป็นเรือพระอัครมเหสี เรือทั้งสองลำ เป็นเรือเสี่ยงทาย" ให้ฝีพายแข่งกัน มีคำทำนายเป็นจารีตที่รู้กันก่อนแล้วว่า ถ้าเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดินพายแพ้เรือไกรสรมุกข์ของพระอัครมเหสี บ้านเมืองจะ เป็นสุขเกษมเปรมประชา มี "ข้าวเหลือ เกลืออิ่ม"

(ซ้าย) ขบวนแห่ช้างในพิธีคเชนทรัศวสนานในพระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดเสนาสนารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขียนซ่อมแซมจากจิตรกรรมฝาผนังเดิมที่เขียนสมัยรัชกาลที่ 5 (ขวา) ถวายผ้าพระกฐินหลวงทางสถลมารค พระราชพิธีเดือนสิบเอ็ด จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ เขียนในสมัยรัชกาลที่ 5



แต่ตรงข้ามถ้าเรือสมรรถไชยของพระเจ้าแผ่นดินชนะ บ้านเมือง"จะมียุค" หมายความว่าเกิดยากแค้นแสนสาหัส ข้าวไม่เหลือ เกลือไม่อิ่ม อดอยากปากแห้งเป็น กลียุค

แข่งเรือพนัน

ประเพณีแข่งเรือเสี่ยงทายค่อยๆคลายความเชื่อเรื่องเสี่ยงทายลงไปเรื่อยๆ แล้วปรับเปลี่ยนเป็นแข่งเรือเพื่อสนุกสนานแล้วเล่นพนันขันต่อ มีอยู่ในบันทึกของชาวยุโรป เช่น ลาลูแบร์ ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ แล้วเห็นชัดขึ้นในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ดังมีในนิราศเดือน ของหมื่นพรหมสมพัตสร(เสมียนมี) กวีสมัยรัชกาลที่ 3 พรรณนางานแห่กฐินมีแข่งเรือชาวบ้าน

ไล่น้ำ ให้น้ำลด

พิธีแข่งเรือเพื่อเสี่ยงทายในเดือน 11 ว่าอนาคตจะอุดมสมบูรณ์หรือข้าวยากหมากแพง เป็นเพียงจุดเริ่มตนพิธีกรรมเกี่ยวกับน้ำและดินของชุมชนเกษตรกสิกรรมที่มี สืบมาแต่ยุคดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ เพราะยังมีพิธีกรรมที่ต้องทำติ่อเนื่องไปอีกคือลอยกระทงเดือน 12 จนกว่าจะขึ้นฤดูกาลใหม่หรือปีใหม่ในเดือนอ้าย หรือเดือนที่หนึ่งของปีต่อไป

ร่องรอยของพิธีกรรมดังกล่าว มีอยู่ในกฎมณเฑียรบาล เรื่องพระราชพิธี (สิบสองเดือน) ประจำปี ดังมีตอนที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ว่า "เดือน 11 อาสยุชแข่งเรือ" "เดือน 12 พิทธีจรองเปรียงลดชุดลอยโคม" เดือน 1 ไล่เรือเถลีงพิทธีตรียำพวาย"

ถ้าตัดชื่อแขกๆ ประเภทบาลีสันสกฤตอันเป็นพิธีพราหมณ์ออกเสียบ้าง ชื่อที่เหลือก็คือเดือนสิบเอ็ดแข่งเรือ เดือนสิบสองลดชุดลอยโคมลงน้ำ เดือนอ้ายไล่เรือ

จะสังเกตเห็นว่าประเพณีพิธีกรรมทั้งสามรายการในสามเดือนนี้ มีลักษณะสอดคล้องต้องกัน เกี่ยวดองต่อเนื่องและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทั้งเป็นเรื่องที่จะต้องปฏิบัติในแม่น้ำลำคลองเช่นเดียวกัน ซึ่งล้วนแต่มีเหตุมาจาก"ฤดู"อาสยุชน้ำนองหาว" และบทลำนำคำขับคำร้องเล่นๆ ของชาวบ้านแถวที่ราบลุ่มรำพึงรำพันเกี้ยวสาวออกมาว่า



เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง

เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็ (จะ) รี่ไหลลง

ความหมายแท้จริงที่เกี่ยวกับน้ำและความอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นที่รับรู้และเข้า ใจร่วมกันมาแต่ดั้งเดิมนั้น ยังมีร่องรอยอยู่บ้างดังที่ลาลูแบรมีบันทึกเกี่ยวกับความหมายของประเพณีลด ชุดลอยโคมลงน้ำทั้งในพระนครศรีอยุธยา และในละโว้ (ลพบุรี) ว่า "

ประชาชนพลเมืองจะแสดงความขอบคุณแม่คงคาด้วยการตามประทีปโคมไฟขนาดใหญ่ (ในแม่น้ำ) อยู่หลายคืน...เราจะได้เห็นทั้งลำแม่น้ำเต็มไปด้วยดวงประทีปลอยน้ำ...ไปตาม กระแสธาร มีขนาดใหญ่ย่อมต่างกันตามศรัทธาปสาทะของแต่ละคน...

โดยนัยเดียวกัน เพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่พระธรณี ที่อนุเคราะห์ให้เก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ ในวันต้นๆ ของปีใหม่ชาวสยามก็จะตามประทีปโคมไฟขึ้นอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง"

พิธีกรรมดังกล่าวมานี้ นอกจากจะมีความสำคัญทั้งในราชสำนักและในชุมชนหมู่บ้านต่างๆมาตลอดสมัยกรุง ศรีอยุธยาแล้ว (และมีความสำคัญมาช้านานก่อนจะมี กรุงศรีอยุธยา) ยังมีการปฏิบัติต่อเนื่องสืบประเพณีผ่านสมัยกรุงธนบุรีมาจนถึงสมัยกรุงเทพฯ ดังพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนระบุว่าพิธีลอยพระประทีปกลางเดือน 11 ออกพรรษาเหมือนกับลอยพระประทีปในเดือน 12 และเรื่องนพมาศ (ในรัชกาลที่ 3) บอกร่องรอยไว้

ฟันน้ำ

กระทำบำเรอพลีกรรมด้วยความอ่อนน้อมจนถึงที่สุดแล้ว ถ้ายังไม่บังเกิดผลดีตามที่มุ่งหมายและคาดหวังเอาไว้ ก็เห็นจะต้องใช้" ไม้แข็ง" คือวิธีการที่แข็งกร้าวกันบ้าง เรียกพิธีกรรมนี้ว่า ไล่เรือ ไล่น้ำ ฟันน้ำ เพื่อให้น้ำลดลงเร็วที่สุด

บันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ระบุว่าสมเด็จพระนารายณ์ "เสด็จไปประกอบพระราชพิธีฟันน้ำเพื่อมิให้น้ำท่วมมากขึ้น"

เรื่องพิธีกรรมฟันน้ำในบันทึกฝรั่งเศสนี้ ดูแล้วไม่น่าเชื่อ แต่ก็คงจะต้องเชื่อเพราะมีคำบอกเล่าในลักษณะตำนานและนิทานจดไว้เป็นลาย ลักษณ์อักษรว่า

พระนารายณ์ทรงมีบุญญาภินิหารและอิทธิฤทธิ์มาก วันหนึ่งเสด็จทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยในเวลาน้ำขึ้น รับสั่งว่าให้น้ำลดแล้วทรงพระแสงฟันลงไป น้ำก็ลดลงตามพระราชประสงค์" (คำให้การขุนหลวงหาวัด)

คำบอกเล่าดังกล่าวนี้น่าเชื่อถือ และใช้อธิบายได้ว่าพิธีกรรมฟันน้ำก็คือพระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงประทับเรือพระ ที่นั่งไปกลางน้ำแล้วทรงใช้พระแสงฟันลงไปในน้ำเพื่อให้น้ำลดโดยเร็ว

พิธีกรรมนี้มิได้แสดงความอ่อนน้อมอ้อนวอนร้องขอแต่เพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยลักษณะ"แกมบังคับ" หรือ"บงการ"อย่างแข็งกร้าวทีเดียว

ความแข็งกร้าวของพิธีกรรมไล่เรือ ไล่น้ำ และฟันน้ำ จะได้ผลหรือไม่? น้ำจะลดลงไปจริงหรือไม่จริง? นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญทั้งหมดของการทำพิธีกรรม เพราะสาระที่สำคัญกว่าอย่างหนึ่งจะอยู่ที่การ "ผ่อนคลาย" เมื่อผ่านพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็สบายใจแล้ว

แต่พิธีไล่เรือ ไล่น้ำและฟันน้ำนี้มิได้ทำทุกปี ถ้าปีไหนน้ำไม่ท่วมก็ไม่ต้องทำพิธี ต่อปีไหนมีน้ำมากเกินไปจึงทำ

พิธี ประจำคือแข่งเรือและชักโคมแขวนโคมลอยโคมพระประทีปที่เรียกกันภายหลังว่าลอย กระทง เพื่อแสดงความเคารพด้วยสำนึกในพระเดชพระคุณของดินและน้ำ ทั้งเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์ให้เกิดแก่ชุมชนบ้านเมืองและอาณาจักรด้วย

ในกระบวนพิธีกรรมทั้งหมดที่กระทำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน 11 จนถึง เดือน 12 เดือนอ้ายและเดือนยี่นั้น พิธีที่เกี่ยวกับลอยโคมพระประทีปลงน้ำ หรือ"ลอยกระทง"จะมีความสำคัญมากที่สุด
ดังจะเห็นจากหลักฐานเท่าที่มีอยู่ว่าพระเจ้าแผ่นดินในกรุงศรีอยุธยาจะเสด็จ พระราชดำเนินเพื่อทรงทำพิธีกรรมนี้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ทั้งเป็นพิธีกรรมที่ประชาชนพลเมืองมีส่วนร่วมกระทำทั่วทั้งราชอาณาจักรด้วย


หน้า 20
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pra01011052&sectionid=0131&day=2009-10-01

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น